ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Alfresco

Alfresco คืออะไร
Alfresco เป็นระบบจัดการเอกสารรูปแบบหนึ่ง ซึ่งจะคล้ายๆ กับ CMS แต่มีความคุณสมบัติที่มากกว่า เช่น การจัดการกับเอกสารที่อยู่ในรูปแบบ Microsoft Office, OpenOffice, LibreOffice โดยที่ข้อมูลภายในเอกสารจะถูก Alfresco ดึงเนื้อหาออกมาทำ Index ได้ นั่นแสดงว่าเราสามารถค้นหาเนื้อหาที่อยู่ในเอกสารเหล่านั้นได้ด้วย ไม่ใช่แค่ค้นหาได้เพียงแต่ชื่อไฟล์

เทคโนโลยีที่ Alfresco ใช้
Alfresco ถูกออกแบบมาด้วย Library Open Source หลายๆ ตัว จึงทำให้โครงการนี้พัฒนาได้อย่างรวดเร็ว และสนับสนุนมาตรฐานเปิดต่างๆ เช่น Open Search, XForm, Web Service, CMIS โดยตัวเด่นๆ ที่มีความสำคัญกับ Alfresco คือ Lucene ซึ่งเป็น Library ที่ใช้ในการค้นหาหรือการทำ full text index นอกจากนี้ยังมี JLAN ที่นำมาใช้เป็น Server ของ CIFS Protocol เป็นต้น

โดย Framework หลัก ที่นำมาพัฒนา Alfresco คือ Spring Framework ทำให้เราสามารถสร้าง Implement Service ต่างๆ แล้วนำมาใช้ได้ทันที โดยไม่ต้องแก้ไขโค้ดเก่าๆ เพียงแค่แก้ไขที่ไฟล์ config เท่านั้น Framework ที่ใช้ในการติดต่อกับ Database ในเวอร์ชั่นแรกๆ คือ Hibernate ภายหลังพบปัญหาเมื่อเจอโหลดหนักๆ พบว่า Hibernate ทำงานช้าลง จึงได้เปลี่ยนมาใช้ iBatis ควบคู่ไปกับ Hibernate แต่หลังจาก version 3.4d เป็นต้นไปได้เปลี่ยนมาใช้ iBatis โดยสมบูรณ์ Framework ที่ใช้ทำ Workflow คือ JBPM (เป็น Open Source Workflow ของค่าย JBoss) ภายหลัง Alfresco เปลี่ยนมาใช้ Activity ควบคู่ไปกับ JBPM

ความสามารถของ Alfresco
  • Document Management ใช้เป็นตัวจัดการเอกสารต่างๆ เช่นการ นำเข้าเอกสาร การแก้ไขเอกสาร โดยสามารถบันทึกเป็น version ได้
  • Web Content Management ทำตัวคล้ายๆ CMS เพื่อให้คนข้างนอกเข้าดูข้อมูลที่เรา publish ได้ โดยส่วนใหญ่จะแยกออกเป็น server แยกอีกตัว ไม่รวมกับตัว Document Management
  • Records Mangement เพื่อเก็บ Records ไว้ตรวจสอบในภายหลัง ว่ามีใครแก้ไขเอกสารเมื่อไร และใครเป็นคนสร้างหรือแก้ไข
  • Image Management เพื่อจัดการกับเอกสารที่ได้จากเครื่อง Scan เป็นส่วนใหญ่
  • Content Repository สามารถใช้เป็น Repository ต่างๆ ได้เนื่องจากตัว Alfresco สนับสนุน มาตราฐานเปิดต่างๆ เช่น CMIS, Web Service, WebDAV, CIFS, JSR 168, JSR 170 Level 2
วิธีการพัฒนา Alfresco
  • SOAP เป็น Protocol เริ่มแรกที่ Alfresco สนับสนุน ควบคู่กับ REST ซึ่งจะมี API ในการใช้งานตัว Alfresco ค่อนข้างครบครัน ตั้งแต่การจัดการเอกสาร ไปถึงการจัดการ Workflow แต่การเรียกใช้ SOAP นั้นจะช้ากว่าการเรียกด้วย REST เนื่องมาจากความซับซ้อนของตัวมาตรฐานของ SOAP เอง (Header ของ Envelope)
  • RESTful เป็น Protocol ที่แนะนำให้ใช้สำหรับงานส่วน logic เพราะจะสามารถพัฒนาได้เร็วกว่าการใช้ SOAP เนื่องด้วย REST นั้นเราสามารถกำหนด format ที่จะส่งกลับมาได้กลาย format ไม่ว่าจะเป็น xml, json, html รวมถึง AtomFeed ด้วย ซึ่งตัว REST นั้น Alfresco มี Framework ให้เราพัฒนาได้อย่างง่ายด้วย Web Script ซึ่งเขียนได้ด้วยภาษา JavaScript หรือจะเขียนจากภาษา Java ก็ยังได้ ซึ่งส่วน JavaScript ที่เราเขียนนั้นจะเป็นส่วนของ login ต่างๆ และจะส่งผลลัพธ์ออกมาในตัวแปร model หลังจากนั้นจะเป็นหน้าที่ของ Template Engine ที่ชื่อว่า FreeMarker เป็นตัวทำการ Render ผลลัพธ์ออกมา โดยเราจะต้องเขียนรูปแบบของ Template นี้เอง ว่าจะส่งค่าออกมาในรูปแบบใด เนื่องจาก Alfresco ได้กำหนดรูปแบบเป็นมาตรฐานไว้แล้วในการพัฒนา Web Script ว่าต้องตั้งชื่อไฟล์อย่างไร เพื่อให้บริการ Web Service ได้ใน format ที่ต้องการ ทำให้เราจำเป็นต้องเรียนรู้เกี่ยวกับข้อกำหนดดังกล่าวเพื่อให้พัฒนา Web Script ได้ตามที่ Alfresco กำหนด (จะกล่าวถึงในภายหลัง)
  • CMIS เป็น Protocol ใหม่ที่ใช้ technology เดิมๆ แต่นำมาผสมผสานกันเกิดเป็นมาตรฐานใหม่ในการจัดการกับระบบเอกสาร ซึ่งระบบเอกสารต่างๆ ที่ดังๆ ไม่ว่าจะเป็น SharePoint หรือ Documentum ล้วนสนับสนุน CMIS แล้ว ตัว CMIS นั้นสามารถเรียกใช้ได้ผ่าน SOAP หรือ REST ก็ได้ โดยรูปแบบที่ใช้ในการสื่อสารถึงกันจะอยู่ในรูปแบบ AtomPub

บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวกับ Alfresco

      โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

      หมดหวังกับรายการทีวีในประเทศไทย

      ไม่ได้เขียน Blog มานานสกิลด้านเขียนไม่รู้จะยังดีเหมือนเดิมมั้ยนะครับ (หัวข้อก็จะ clickbait  ตามแนว Content ยุคใหม่) จริงๆ แล้ว คิดจะเขียนมาตั้งนานแล้วแต่ไม่รู้จะเขียนอะไร พอดีวันนี้อ่านเจอโพสต์ของเพื่อนในเฟสบุ๊คที่แชร์มา หัวข้อประมาณว่า ประเทศไทยมีความพยายามทำให้คนโง่ลง คือผมก็ติดตามข่าวมาเรื่อยๆ ช่วงไปอยู่จีนก็ยังติดตามอยู่ แต่มีความรู้สึกว่าข่าวของประเทศเรากับประเทศจีนนี่คือคนละขั้วเลย ที่จีนข่าวส่วนใหญ่จะเป็นข่าวที่ค่อนข้างมีสาระ และไม่มีข่าวงมงาย น่าจะเนื่องมาจากกฎหมายของประเทศไทยที่ค่อนข้างคุมเข้มกับสื่อ ย้อนกลับมาที่ไทย ประเทศเราไม่มีกฎหมายคุมเข้มสื่อเหมือนประเทศจีนขนาดนั้น สื่อประเทศเราค่อนข้างมีอิสระในการนำเสนอ แต่หลังๆ มานี่ผมเห็นแต่ข่าวอาชญากรรม หรือข่าวให้หวยซะส่วนใหญ่ ก็เข้าใจว่าต้องการยอดผู้ชม แต่การที่สื่อนำเสนอแบบนั้นนี่ไม่แน่ใจว่าจะดีต่ออนาคตประเทศชาติหรือไม่นะครับ คนดูข่าวเพื่อจะรอเลขเอาไปซื้อหวย ไม่แน่ใจว่าสนใจอะไรมากกว่าระหว่างหวยกับข่าว ตอนจะมีกฎหมายหวยออนไลน์ก็เห็นออกมาต่อต้านบอกมอมเมาประชาชน แต่สิ่งที่สื่อกำลังนำเสนออยู่นั้นมันย้อนแย้งในตัวเองชอบกล และ

      Fluent NHibernate Configuration

      I have a C# project which I have to develop for MS SQL Server, customer requirment, but since I do not have a license for it. Then I decide to go with NHibernate but NHibernate is relied on XML based configuration, which is not my preference, I research a little bit more, definitely I found out Fluent NHibernate is a good replacement for XML based configuration. I can map the entities with C# code that can reduce the errors prone in my code. I use Firebird database in the development, though it can be used in production, I define the mapping as normal NHibernate (also Hibernate in Java). But when I try to build the configure for Fluent NHibernate, it's not the same as SQLite example, I try to fine the solution one by one from StackOverflow and the steps below can solved my problem. Add the reference for NHibernate and its dependecies (NHibernate.dll, Iesi.Collections.dll) Add a reference for Fluent NHibernate (FluentNHibernate.dll), you can get it from nuget packacge manager

      Standalone MySQL setup

      Currently I am learning Spring Boot. I follow some tutorials but there is a part requires to use DBMS. So I decide to use MySQL as a database. But I don't want to install it as as service neither install with Windows installer. I decide to download an archive version to run it as standalone application. I expect it will be ready to use as the installer version but it is not as easy as I think. The first thing you have to do after extract the archive file is to copy my-default.ini to my.ini Open my.ini with notepad or text editor that you like, edit these lines as show below basedir = X:/<pat to your mysql folderh>/mysql-5.7.9-winx64 datadir = X:/<pat to your mysql folderh>/mysql-5.7.9-winx64/data Important!  Don't forget to create the folder data to the path they you refer in datadir  Second you have to mysql bin directory and then input the following command in command prompt mysqld --initialize --console --console is optional to see the verbose in